โรคจิตคืออะไร? มีอาการอย่างไร?
“โรคจิต” คือการเจ็บป่วยทางจิตใจแบบหนึ่ง ความเจ็บป่วยทางจิตใจนั้น มีอยู่หลายรูปแบบ เช่น เกิดจากความผิดปกติของความคิด ความจำ เกิดจากความผิดปกติของอารมณ์ หรือเกิดจากความผิดปกติของพฤติกรรม
“โรคจิต” เป็นโรคของ “ความคิดที่ผิดปกติ” ความผิดปกติของความ คิด ทำให้ผู้ป่วยมีความเชื่อ มีพฤติกรรม มีการกระทำ ที่ผิดไปจากคนปกติทั่วๆ ไป และความเชื่อนี้ ไม่สามารถอธิบายได้ตามหลักของความจริง หรือตามหลักของความเชื่อที่มีอยู่ในสังคมนั้นๆได้ แต่ผู้ป่วยก็เชื่ออย่างสนิทใจ กับความเชื่อของเขา กับเรื่องราวที่เกิดกับตัวเขา เราเรียกอาการแบบนี้ หรือ อาการประเภทนี้ ว่า การหลงผิด หรือ “Delusion” หรือ การเชื่ออย่างผิดๆ และเชื่ออย่างฝังแน่น
ตัวอย่าง เช่น หญิงสาวรายหนึ่งหลังจากอกหักจากชายคนรัก เธอก็ได้ลาออกจากบริษัทที่ทำงานอยู่เดิม เพราะไม่ต้องการเจอหน้าผู้ชายหลอกลวงอีกต่อไป เธอไปสมัครงานที่บริษัทแห่งใหม่ แล้วเธอก็พบว่าพนักงานบริษัทแห่งใหม่นี้ “เป็นเครือข่ายของผู้ชายคนที่เคยหักอกเธอ” ทั้งสิ้น ทุกคนทำงานตามแผนของผู้ชายคนนั้น เพื่อที่จะ “จัดการเธอ” ให้พ้นๆไป ในที่สุดเธอก็ต้องปฏิเสธงานของบริษัทแห่งใหม่นี้
และเมื่อเธอไปสมัครงานที่บริษัทอีกแห่งหนึ่ง แล้วเธอก็พบกับเหตุการณ์แบบเเดิมอีก ผู้ชายคนนั้นได้ยึดครองบริษัทแห่งนี้ไว้อีกแล้วเช่นกัน เธอรู้สึกได้ทันทีว่าพนักงานทุกคนของบริษัทแห่งนี้ ล้วนรับคำสั่งจากผู้ชายคนนั้นเพื่อจัด การกับเธอ เช่นเดียวกับบริษัทที่ผ่านมา ความเชื่อว่า ผู้ชายคนนั้นกำลังวาง แผนเล่นงานเธอ ทำให้เธอไม่สามารถไปสมัครทำงานที่ไหนได้อีก เพราะเธอรู้สึกว่าชีวิตของเธอไม่มีความปลอดภัย มีเพื่อนพยายามที่จะอธิบายถึง “ความไม่เป็นเหตุเป็นผล” ของเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอ เพราะความเป็นไปได้ในการสั่งการให้คนรอบๆข้างทุกคนเล่นงานเธอโดยผู้ชายคนนั้น มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย แต่หญิงสาวก็ยืนยันว่า ทุกสิ่งที่เกิดกับเธอเป็นเรื่องจริง (ตามความเชื่อของเธอ) เธอ “เชื่ออย่างหลงผิด และ เชื่ออย่างฝังแน่น” หรือ “False Belief and Fix”
อีกกลุ่มอาการของ “โรคจิต” คือ อาการ หูแว่ว (Auditory Hallucina tion) และ อาการเห็นภาพหลอน (Visual Hallucination)
อาการหูแว่ว เป็นอาการที่เกิดกับผู้ป่วยโรคจิตได้บ่อย ผู้ป่วยจะได้ยินเสียงพูดโดยที่ไม่มีที่มาของเสียงพูด เนื้อหาอาจเป็นเสียงสั่ง เสียงเตือน เสียงตำหนิ นินทา ด่าทอ และบางครั้งผู้ป่วยอาจมีการโต้ตอบกับเสียงเหล่านี้ด้วย เราจึงพบบ่อยที่ผู้ป่วยโรคจิตพูดคุยคนเดียว คล้ายๆกับกำลังโต้ตอบอยู่กับใครบางคน (ที่เรามองไม่เห็น) ซึ่งก็คือ ผู้ป่วยกำลังตอบโต้อยู่กับอาการหูแว่วของเขา
อาการเห็นภาพหลอน ก็คล้ายๆ กับอาการหูแว่ว คือเป็นการมองเห็นภาพขึ้นมาเองของผู้ป่วย โดยที่ไม่มีภาพหรือเหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้นจริง ถ้าท่านได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Beautiful Mind ภาพยนตร์ที่สร้างจากประวัติของศาสตรา จารย์จอห์น แนช แห่งมหาวิทยาลัยปริ๊นซ์ตัน เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ ผู้ชายใส่ชุดดำที่คอยติดตามสั่ง หรือพูดกับ จอห์น แนช อยู่ตลอดเวลานั่นแหละคือ ภาพหลอน ที่เกิดขึ้นกับเขา (ศาสตราจารย์ จอห์น แนช ป่วยเป็นโรคจิตเภท ซึ่งเป็นโรคจิตที่มีอาการรุนแรงและเรื้อรังชนิดหนึ่ง และหนังสือ Beautiful Mind ก็มีฉบับแปลเป็นภาษาไทยขายอยู่ในบ้านเรา)
อนึ่ง อาการผิดปกติของวิธีคิด การใช้เหตุผล และกระแสความคิดเหล่านี้ ผู้ที่ไม่มีความชำนาญในเรื่องโรคจิต มักจะมองความผิดปกติในเรื่องนี้ได้ค่อนข้างยาก หลักใหญ่ๆที่ใช้ตรวจสอบความผิดปกติของความคิดนี้จะดูที่การใช้เหตุผล การโต้ตอบในการสนทนา ความต่อเนื่องของกระแสความคิดว่ามีความเป็นเหตุเป็นผล มีความต่อเนื่องหรือไม่
ตัวอย่างเช่น เมื่อถามผู้ป่วยว่าทำไมพระอาทิตย์จึงขึ้นทางทิศตะวันออก ผู้ป่วยตอบว่าเป็นเพราะมีคนไปปิดทางขึ้นทางทิศตะวันตกไว้ พระอาทิตย์เลยต้องเปลี่ยนมาขึ้นทางทิศตะวันออก เป็นต้น
และที่สำคัญมากอีกอย่างของผู้ป่วยโรคจิตก็คือ การไม่ยอมรับว่าตัว เองป่วย หรือ ไม่ยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองนั้น “ไม่เป็นความจริง” เขาจะเชื่ออยู่ตลอดเวลาว่า เรื่องราวทั้งหมดมันเป็นเรื่องจริง และความเชื่อตรงนี้แหละ ที่ทำให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมแปลกๆไป เมื่อใดก็ตามที่ผู้ป่วยเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาไม่ใช่เรื่องจริง นั่นแสดงว่าอาการผู้ป่วยกำลังเริ่มดีขึ้น
โรคจิตเกิดขึ้นได้อย่างไร?
จนถึงปัจจุบัน เรายังไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่า โรคจิตชนิดต่างๆ นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร มีเพียงคำอธิบายกว้างๆ ในการอธิบายสาเหตุไว้ว่า
- เกิดจากความกดดัน หรือความเครียดที่รุนแรงของชีวิต อย่างกรณีตัวอย่างหญิงสาวที่ถูกคนรักสลัดทิ้ง ก็อาจทำให้เกิดความเจ็บป่วยแบบนี้ขึ้นได้
- เกิดจากความบกพร่องในการทำงานของระบบสมอง และพันธุ กรรม อย่างกรณีในข้อหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่า คนที่อกหักทุกคนจะต้องลงเอยด้วยการป่วยเป็นโรคจิต อาจจะมีเสียอกเสียใจ มีซึมเศร้าบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นจะต้องเป็นโรคจิตไปทุกคน เว้นเสียแต่ว่าสมองหรือพันธุกรรมของผู้ป่วยมีแนว โน้มว่าจะป่วยเป็นโรคนี้อยู่แล้ว พอมาเจอกับความเครียดที่รุนแรงแบบนี้ ก็เลยเกิดอาการของโรคจิตขึ้นมา
- เกิดจากยา หรือสารเคมีที่ผู้ป่วยเสพเข้าไป ที่พบสุดฮิตในบ้านเราขณะนี้ก็คือ การเสพยาบ้า กัญชา สุรา ยาลดความอ้วน กาว และยาไอซ์ สารเหล่านี้ นอกจากจะทำให้เกิดการติดแล้ว ยังทำให้ระบบการทำงานของสมองแปรปรวนไปจนทำให้เกิดอาการหลงผิด หูแว่ว และประสาทหลอน ซึ่งเป็นอาการของโรคจิตขึ้นมาได้ เราจะได้พบเห็นอยู่เนืองๆ ที่ผู้เสพยาบ้า แล้วเกิดอาการประสาทหลอน และก่อคดีสะเทือนขวัญขึ้นมา เมื่อสร่างจากยาแล้ว เขามักจะบอกว่าเขาเกิดความเชื่อขึ้นมาว่า มีคนจะฆ่าเขา ดังนั้นเพื่อป้องกันตัวเอง เขาจึงต้องฆ่าผู้อื่นก่อน
โรคจิตมีกี่ชนิด?
โรคจิตที่พบได้บ่อยมีอยู่ 4 ชนิด คือ
- โรคจิตเภท (Schizophrenia) เป็นโรคจิตที่มีอาการรุนแรงที่สุด มีความเรื้อรัง และทำให้ผู้ป่วยเกิดความเสื่อมของบุคลิกภาพ และความสามารถทั่วๆไปได้มากที่สุด ผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้มักจะต้องรับการรักษาตลอดไป อาการที่พบ จะพบได้ทั้ง อาการหลงผิด หูแว่ว ประสาทหลอน และความคิดที่ไม่เป็นระบบ
คำว่า “Schizophrenia” หมายความว่า Split of mind ซึ่งแปลเป็นไทยว่า “จิตเภท” หรือ จิตใจที่แตกแยกเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งเป็นคำอธิบายถึงธรรมชาติของโรคนี้ได้ดีที่สุด
- โรคหลงผิด (Delusional Disorder) อาการที่พบในโรคนี้ก็คือการมีความหลงผิดๆในบางเรื่อง เช่น หลงผิดว่าถูกปองร้ายโดยใครบางคน แต่มักจะไม่พบความผิดปกติอื่นๆร่วมด้วย ในโรคนี้บางครั้ง เราจะดูลักษณะภาย นอกของผู้ป่วยไม่ออก เพราะทุกอย่างจะดูปกติดี แต่เมื่อได้ฟังความคิดในเรื่องที่ผู้ป่วยหลงผิดก็จะสามารถมองเห็นความผิดปกติได้ไม่ยาก
- โรคจิตที่เกิดจากยา และสารเสพติด มักจะได้ประวัติของการเสพยา หรือสารเสพติด
- โรคจิตที่เกิดจากความกดดัน หรือความเครียดของชีวิต มัก จะเกิดขึ้นหลังจากมีเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียดอย่างรุนแรงในชีวิตของผู้ป่วย
แพทย์วินิจฉัยโรคจิตได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยโรคจิตได้จาก ประวัติอาการของผู้ป่วย ประวัติการเจ็บป่วยทั้งในอดีตและปัจจุบัน ปัญหาในชีวิตและครอบครัว การกินยาใช้ยาต่างๆรวม ทั้งยาเสพติด การตรวจร่างกาย การตรวจต่างๆทางร่างกายเพื่อแยกโรคของร่างกายที่อาจก่ออาการทางจิต เช่น ตรวจเลือดวินิจฉัยโรค
ซิฟิลิส การติดเชื้อ
เอชไอวี (HIV) โรค
เอดส์ หรือ โรคขาดสมดุลของเกลือแร่ และการตรวจภาพสมองด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และ/หรือ คลื่นแม่เหล็กเอมอาร์ไอ และที่สำคัญที่สุด คือ การตรวจต่างๆด้านจิตเวชโดยจิตแพทย์
รักษาโรคจิตอย่างไร?
แนวทางการรักษาโรคจิต ได้แก่
- การใช้ยารักษาอาการทางจิต ซึ่งมีอยู่หลายชนิด โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่า ควรจะใช้ยาชนิดใด และจะใช้เป็นเวลานานเท่าใด บางโรคอาจต้องใช้ยาตลอดไป บางโรคเมื่ออาการดีขึ้น แพทย์อาจพิจารณาลดยา และหยุดยาในที่สุดได้ การรักษาทางยาเป็นการรักษาที่สำคัญมากวิธีหนึ่ง ดังนั้นการดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาอย่างสม่ำเสมอ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
- การทำจิตบำบัด โดยเฉพาะโรคจิตที่เกิดจากการใช้ยาเสพติด และโรคจิตที่เกิดจากความเครียดของชีวิต เพราะอาการทางจิตเป็นเพียงผลของปัญหา การบำบัดทางจิตเพื่อขจัดต้นตอของปัญหาย่อมมีความจำเป็น แต่การทำจิตบำบัด จิตแพทย์จะให้การรักษาหลังจากที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการทางจิตดีขึ้นแล้ว และมักจะให้การรักษาร่วมกับการใช้ยาเสมอ
- การทำครอบครัวบำบัด คือ การทำให้ญาติมีความเข้าใจกับปัญหา และความเจ็บป่วยของผู้ป่วยมากขึ้น ช่วยทำให้ญาติสามารถจัดการกับปัญหาของผู้ป่วยได้ดีขึ้น มีความรู้สึกเครียดกับความเจ็บป่วยของผู้ป่วยน้อยลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการรักษาผู้ป่วยในระยะยาว
ญาติและครอบครัวสามารถช่วยดูแลผู้ป่วยโรคจิตได้อย่างไร?
ญาติและครอบครัวสามารถช่วยดูแลผู้ป่วยโรคจิตได้โดย
- ในช่วงแรกๆ ผู้ป่วยมักจะปฏิเสธการรักษา ปฏิเสธการกินยา เพราะผู้ ป่วยไม่คิดว่าตนเองป่วย ญาติจึงจําเป็นต้องดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาอย่างสม่ํา เสมอ
- ยารักษาอาการทางจิตโดยส่วนใหญ่ มักก่อให้เกิดอาการข้างเคียง คือ อาการตัวแข็ง ลิ้นแข็ง น้ําลายไหล และมักเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยไม่อยากกิน ยาต่อไปอีก การบอกเล่าอาการให้แพทย์ทราบเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว จะช่วยทําให้ผู้ป่วยร่วมมือในการรักษามากขึ้น
- โรคจิตบางชนิดมีอาการเรื้อรัง ต้องใช้เวลารักษานาน หรืออาจจะ ตลอดชีวิต การให้กําลังใจ การให้คําแนะนําในเรื่องการรักษาตัวเอง หรือแม้แต่ ในเรื่องทั่วๆไป จะช่วยให้ผู้ป่วยผ่อนคลาย เกิดกําลังใจที่จะต่อสู้กับความเจ็บ ป่วยต่อไป
- ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง และสม่ําเสมอจะมีความสามารถ ในการทํางานได้ตามปกติ ควรสนับสนุนให้ผู้ป่วยได้ทําหน้าที่ของตนเองต่อไป
ใครบ้างมีโอกาสเป็นโรคจิต?
เนื่องจากเรายังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคจิต จึงบอกได้ ยากว่าใครคือคนที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคจิต อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีบางเรื่อง บางประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเกิดอาการทางจิต เช่น ความเครียดอย่างรุนแรง การใช้ยาหรือสารเสพติด สุรา ยาไอซ์ ฯลฯ
ดังนั้นหากจะสรุปว่าใครบ้างที่มีโอกาสป่วยเป็นโรคจิตได้ คําตอบก็คือ
- คนที่ใช้ยาเสพติด
- คนที่มีความเครียด และความกดดันในชีวิตอยู่ตลอดเวลา
ป้องกันโรคจิตได้อย่างไร?
การป้องกันโรคจิต ได้แก่
- หลีกเลี่ยงยา หรือสารเสพติด
- ออกกําลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ
- เรียนรู้วิธีผ่อนคลาย วิธีลดความเครียด และนํามาใช้ เมื่อเกิดความ เครียด
สรุป
โรคจิต ก็คือ ความเจ็บป่วยที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ไม่ต่างจากโรค
เบาหวาน โรค
ความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจขาดเลือด (
โรคหลอดเลือดหัวใจ) หากผู้ใกล้ชิดผู้ป่วย และคนทั่วไปเข้าใจ และให้โอกาสผู้ป่วย การช่วย ผู้ป่วยให้พ้นทุกข์ และกลับมาใช้ชีวิตได้เช่นเดิม ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นแต่อย่างใด