Blogger นี้มีไว้ใช้สำหรับการเรียนวิชาอินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

นักจิตวิทยาแฉ คนไทยรุ่นใหม่มีลักษณะ 7 C


นักจิตวิทยาราชบัณฑิต แฉคนรุ่นใหม่ในสังคมโลกาภิวัตน์มีลักษณะ 7 C “ใช้บัตรเครดิต-มีรถยนต์ส่วนบุคคล-ใช้คอมพิวเตอร์-ใช้การสื่อสาร-อยู่คอนโดฯ-เป็นสมาชิกสโมสร-ใช้ถุงยางอนามัย” แนะรัฐบาลวางแผน 20 ปี สังคมเข้มแข็ง

คณะกรรมการสหวิทยาการเพื่อการวิจัยและพัฒนาราชบัณฑิตยสถาน จัดสัมมนาวิชาการเรื่อง “ผลกระทบของโลกาภิวัตน์ที่มีต่อสังคมไทย” โดยนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดงาน ซึ่งมีนักวิชาการราชบัณฑิต และภาคราชการร่วมความคิดเห็นเข้าร่วมกว่า 200 คน

ดร.โสภา ชูพิกุลชัย ชปีลมันน์ ราชบัณฑิตสาขาจิตวิทยา กล่าวว่า สภาพความเป็นอยู่และการดำเนินชีวิตคนไทยมีลักษณะนิสัยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก จากที่เคยเป็นคนมีใจเอื้ออาทร มีความรู้สึกมักน้อย พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ มีชีวิตเรียบง่าย ยึดถือในขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม เชื่อบาปบุญคุณโทษ และมีความกตัญญู

แต่ปัจจุบันคนไทยกลายเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ชอบใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อ ซึ่งทำให้เกิดความเครียดมากขึ้นจนกลายเป็นโรคร้ายแรง เพราะชอบแข่งขันเอาชนะ และบูชาวัตถุนิยม จะเห็นได้จากการเรียนตั้งแต่อนุบาล จะเน้นพัฒนาการทางสติปัญญา ปราศจากการเรียนรู้ด้านอื่นๆ เมื่อโตขึ้นก็จะเข้าไปทำงานอย่างเคร่งเครียดในระบบการแข่งขัน ทำให้คนขาดอารมณ์อ่อนโยน ขาดความรู้สึกอยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตร

ดร.โสภา กล่าวอีกว่า ปัจจุบันคนไทยมีบุคลิกภาพแบบเครียด และแบบต่อต้านสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดความรักความอบอุ่นในครอบครัว และได้รับการเลี้ยงดูที่เข้มงวดด้านการแข่งขันมากเกินไป หรือเลี้ยงแบบปล่อยปละละเลยจนเกินไป ระบบครอบครัวอ่อนแอลง ถือเป็นวิกฤติที่อันตรายมากที่สุดของสังคมไทยเวลานี้ ขณะเดียวกัน คนก็ห่างธรรมชาติมากขึ้น มีการเคลื่อนไหวน้อยลง จนนำไปสู่การสูญพันธุ์ของวัฒนธรรมในอดีตถูกกลืนโดยวัฒนธรรมตะวันตก

จากการศึกษาสรุปได้ว่า คนรุ่นใหม่ในสังคมโลกาภิวัตน์มีลักษณะ 7 C ดังนี้

1.ใช้บัตรเครดิต (Credit Card)

2. มีรถยนต์ส่วนบุคคล (Car)

3. ใช้คอมพิวเตอร์ (Computer)

4. ใช้การสื่อสาร (Communication)

5. อยู่คอนโดมีเนียม (Condominium)

6. เป็นสมาชิกสโมสร (Club)

7. ใช้ถุงยางอนามัย (Condom) สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงค่านิยมและวิถีชีวิตแบบใหม่ของคนยุคนี้

ราชบัณฑิตสาขาจิตวิทยา กล่าวถึงทางออกของปัญหาสังคมโลกาภิวัฒน์ว่า ระยะสั้นเสนอให้ทุกคนในสังคมต้องครองสติเอาไว้ให้ได้ ตั้งมั่นอยู่ในความสงบ ที่สำคัญในภาวะเช่นนี้ทุกคนต้องร่วมมือกันประหยัด ทำตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการใช้ชีวิตแบบพอประมาณ รู้จักความพอดี

ส่วนทางออกในระยะยาวนั้น รัฐบาลต้องวางแผนระยะยาวรองรับสถานการณ์โลกาภิวัตน์ในอนาคตอย่างน้อย 20 ปีขึ้นไป ต้องสร้างวัฒนธรรมชุมชนให้เข้มแข็ง ทั้งปฏิรูประบบการศึกษา เน้นการศึกษาพัฒนาจิตใจ ส่งเสริมสถาบันครอบครัวให้เป็นโครงสร้างของสังคมแข็งแรง เหล่านี้จะเป็นยาภูมิคุ้มกันในอนาคตได้

วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ฟังเพลงนี้ คลายเคลียดได้นะคะ

5 วิธีผ่อนคลายอย่างได้ผล



การหายใจหามุมหรือห้องสงบๆ เปลี่ยนบรรยากาศให้คุณแม่รู้สึกอบอุ่น สบาย โดยใช้แสงไฟสีส้มอ่อนๆ หรือหรี่ดวงไฟในห้องไม่ให้จ้าเกินไป มองรูปภาพที่ดูแล้วรู้สึกสบายใจ หาที่นั่งที่สบายๆ สามารถเอนหลังได้ ปล่อยแขนข้างลำตัว จากนั้นหายใจเข้า-ออกลึกๆ เป็นธรรมชาติ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ โดยยกไหล่ขึ้นแล้วค่อยๆ ปล่อยลงมา ผ่อนคลายใบหน้าและขากรรไกร ผ่อนคลายมือและแขนด้วยการกำและแบมือ 2-3 ครั้ง ผ่อนคลายขาและนิ้วเท้าด้วยการขยับนิ้วเท้าไปมา 2-3 ครั้ง เมื่อร่างกายผ่อนคลายดีแล้ว ให้คุณแม่หายใจเข้าออกลึกๆ สัก 10-15 นาที คุณแม่จะรู้สึกสงบและมีสมาธิมากเลยค่ะ 

เสียงเพลง
 
คุณแม่ลองเปิดเพลงคลอไปพร้อมกับการฝึกหายใจก็จะช่วยเพิ่มระดับความผ่อนคลายขึ้นค่ะ เพราะดนตรีมีรูปแบบของจังหวะ โทนเสียงที่ช่วยให้สมองผ่อนคลาย โดยเฉพาะดนตรีบำบัดจากธรรมชาติ เช่น เสียงคลื่นทะเล นกร้อง เป็นต้น จะเลือกฟังเพลงคลาสสิค แจ๊ส บอสซ่า หรือเพลงที่คุณแม่ฟังแล้วรู้สึกสบายและอารมณ์ดีก็ได้เหมือนกันค่ะ 

กลิ่นหอม
 
กลิ่นที่ดีก็เป็นตัวเสริมสำคัญที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศผ่อนคลายได้ คุณแม่ลองจุดเทียนและหยดน้ำมันหอมระเหย ให้มีกลิ่นอวลบางๆ ในห้อง ถ้าอยากให้ห้องมีอากาศสดชื่นและสงบ ลองใช้กลิ่นลาเวนเดอร์ มะกรูด หรือเจอราเนี่ยม ส่วนกลิ่นมะลิ หรือคลารี่เสจ ช่วยผ่อนคลายความเจ็บปวดและความตึงเครียดได้ค่ะ 

การนวด
 
ก่อนเข้านอนให้คุณพ่อช่วยนวดให้คุณแม่ก็ได้ค่ะ โดยให้คุณแม่นอนตะแคง นวดที่หลังเบาๆ ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้คลึงเบาๆ จากต้นคอ ไหล่ ไล่ลงมาที่เอว ส่วนการนวดที่ขานั้น ห้ามบีบแต่ให้ใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งนวดจากปลายเท้าไล่ขึ้นไปแทนค่ะ ส่วนการนวดแขนทำเช่นเดียวกับขา และห้ามนวดที่ท้องและบริเวณอุ้งเชิงกรานนะคะ เพราะเป็นจุดที่อ่อนไหวมาก ที่สำคัญต้องเบามือค่ะ หรือคุณแม่จะลองหาคอร์สนวดผ่อนคลายสำหรับคุณแม่ท้องก็ได้เช่นกันค่ะ
จินตนาการและความคิด

ลองปลดปล่อยจินตนาการ สมมุติว่าตนเองอยู่ในสถานที่ที่สบาย เช่น กำลังเดินเล่นในสวนดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมไปทั้งสวน นั่งชิงช้าใต้ต้นไม้เขียวขจี ฟังเสียงนกร้องขับกล่อม ลมเย็นโชยมาอ่อนๆ เป็นต้น เพราะการปล่อยให้ใจได้ล่องลอยไปตามจินตนาการ ทำให้คุณแม่ลืมความเจ็บปวดและความเครียดได้ชั่วขณะ นอกจากนี้การคิดบวก มองโลกในแง่ดี ก็ทำให้จิตใจของคุณแม่ไม่ขุ่นมัวและเกิดความเครียดได้ค่ะ

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อาการป่วยทางจิต: Eating Disorders

Eating Disorders คืออาการผิดปกติทางการกิน ที่มีให้เห็นบ่อยที่สุดคือAnorexia nervosa(ความไม่อยากอาหารและอดอาหาร)กับBulimia nervosa(อยากอาหารมากผิดปกติและล้วงคออาเจียน) เป็นโรคที่ถูกสังคมปักใจเชื่อว่ามีแรงกระตุ้น/แรงโน้มนาวมาจากกระแสนิยมทางสื่อmedia เช่น พวกนางแบบแฟชั่น ฯลฯ อีกทั้งยังถูกมองว่าEating Disordersเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับ"น้ำหนัก"ล้วนๆ
แต่... มันไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นแบบนั้นหรอกค่ะ หัวใจของโรคนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนั้นด้วยซ้ำ 
จขบ.ได้ยินเกี่ยวกับโรคนี้เป็นครั้งแรกเพราะคนเคยพูดถึงAnorexicในการสนทนาแบบขำๆเป็นกันเอง("Oh my God, she's so skinny! Anorexic!") ตอนนั้นไม่เคยคิดจะใส่ใจเพราะความ"กลัวอ้วน"และ"diet"ออกจะเป็นเรื่องไม่สำคัญในความเห็นของจขบ.เท่าไร
ต่อมาก็ได้สนใจเกี่ยวกับโรคนี้อีกทีตอนที่การ์เดี้ยนบอกว่าเคยเป็นที่ปรึกษาให้กับคนที่เป็นEating Disorders
นอกจากนั้นจขบ.ก็มารู้ว่านร.คนหนึ่งที่รร.เคยเป็นAnorexicจนกระทั่งต้องย้ายไปรักษาอยู่ออสเตรเลียปี-สองปี ก่อนจะกลับมาเรียนที่โรงเรียนเดิมได้ แถมยังได้รู้ว่ามีนร.คนอื่นไม่กี่คนก็เป็นAnorexicและออกจากรร.ไปเหมือนกัน
แล้วหลังจากนั้นจขบ.ก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นโรคนี้
สรุป... Eating Disordersอยู่ใกล้ตัวและแพร่หลายมากกว่าที่หลายคนคิดค่ะ
เกือบ 11 ล้านคนในโลกทุกข์ทรมานจากAnorexiaและBulimia และอีกหลายล้านที่ทรมานจากBinge Eating Disorder(รับประทานอาหารปริมาณมากผิดปกติโดยที่ควบคุมไม่ได้)
หลายคนคิดว่าโรคนี้เกิดขึ้นกับผู้หญิงเท่านั้น แต่จริงๆแล้วEating Disordersเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ(ส่วนใหญ่เป็นหญิง) ทุกวัย(ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น) ทุกเชื้อชาติ และทุกฐานะ

เริ่มแรก ปัญหาของEating Disordersไม่ใช่น้ำหนัก...
โรคAnorexic nervosa--หรือบางทีแปลว่า"โรคกลัวอ้วน/โรคคลั่งผอม" ผู้ป่วยจะกังวลว่าวันนี้น้ำหนักเท่าไร กินไปแล้วกี่แคลอรี่ และจะออกกำลังกายติดต่อกันนานเพื่อลดน้ำหนักให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ บางทีใช้ยาถ่ายเป็นเครื่องช่วยเพื่อที่ร่างกายจะได้ไม่ต้องซึบซับอาหาร
แต่แค่ความรู้สึกที่ว่า"อยากผอม"จะทำให้Anorexia nervosaกลายเป็นโรคป่วยทางจิตที่มีอัตราการตายสูงที่สุดหรือ? ทำไมแค่"อยากลดความอ้วน"จะต้องทำให้คนเราผลักดันตัวเองจนเป็นAnorexia nervosaขั้นรุนแรง ทำให้ร่างกายอ่อนแอถึงขั้นหัวใจวายตาย ฟันผุ ผมร่วง โลหิตจาง และอดอาหารจนตายด้วยล่ะ? (ในกรณีของBulimiaก็ตายได้ถ้าอาเจียนผิดวิธีแค่ครั้งเดียว หรือกินมากๆจนกระเพาะแตกตาย)
เหตุผลก็คือ... รากเหง้าของปัญหาที่ผู้ป่วยEDนั้น เกี่ยวกับการวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองอย่างต่อเนื่อง ความมั่นใจตัวเองที่ต่ำถึงขีดสุด และการแสวงหาความสมบูรณ์แบบ
ผู้ป่วยEDหลายคนเคยถูกทารุณกรรม(ทางเพศ/ทางจิตใจ/ทางร่ายกาย) ถูกแกล้ง/ล้อที่รร. พวกเขามักจะรู้สึกว่าตัวเองขาดความรัก
เพราะฉะนั้นผู้ป่วยEDมีปัญหาอื่นๆที่ลึกกว่าแค่ความรู้สึกที่ว่า"อยากสวยและอยากผอม"ค่ะ
มันมีความแตกต่างระหว่าง"คนที่ใช้วิธีลดน้ำหนักแบบEDเพื่อที่จะดูดีชั่วครั้งชั่วคราว"กับ"ผู้ป่วยED"ค่ะ
สำหรับคนที่ป่วยเป็นโรคED "การกิน"เป็น"วิธีการปรับตัว(coping mechanism)"ในชีวิตประจำวันของพวกเขาค่ะ

ผู้ป่วยEating Disordersไม่ใช่คนโง่...
"ตัวเองน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐานแค่นี้ไม่รู้รึไง" 
"พ่อแม่ก็รวยทำเป็นเด็กอดอยากไปได้"
"เรียนก็ได้คะแนนท็อป ดันตามกระแสนิยมอยากจะผอมเวอร์ๆซะงั้น" 
น่าเศร้าที่สังคมพูดเสียๆหายๆกับผู้ป่วยโรคนี้อย่างมากมาย แต่ก็คงจะชวนให้คิดอยู่ว่าผู้ป่วยโรคนี้โง่อยู่หรอก เพราะผู้ป่วยบางคนก็ถึงขั้นปฏิเสธน้ำเพราะรู้สึก"อ้วน"เวลาดื่มน้ำ (ทั้งที่น้ำเปล่าก็รู้ๆกันอยู่ว่าไม่มีแคลอรี่น่ะนะ) หรือบางทีไม่กล้าเข้าใกล้อาหาร เพราะกลัวไขมันซึมผ่านผิวหนัง
ก็Eating Disordersเป็นอาการป่วยทางจิตนี่ค๊า... มันคือศึกระหว่างความคิดที่ว่าอะไรที่มีเหตุผลกับไม่มีนี่นา
แต่สังคมก็ตัดสินว่าผู้ป่วยEDเป็นคนโง่โดยที่ไม่รู้จักEDเลย
ผู้ป่วยโรคนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กเรียนดี (เกรด A ล้วน/เกรด 4 ล้วน/คะแนน 85% อัพ เป็นต้น) เป็นพวกที่มีแรงกระตุ้นมหาศาล ทำงานหนักและทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ตัวเองเพอร์เฟ็ค แต่บังเอิญว่าแนวคิดแบบนี้กลับย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง เมื่อตอนหันไปมองในกระจกแล้วเริ่มรู้สึกว่าอยากจะลอง"ลดน้ำหนักสักหน่อย" เพราะฉะนั้นโรคนี้มักจะเกิดขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัวค่ะ

Eating Disordersกลายเป็นmindset...
แน่นอนว่าอัตราการตายของคนที่ป่วยเป็นโรคEDคงไม่สูงมากมาย ถ้าพวกเขาสามารถทำตามคำขอร้องที่ว่า "กินเถอะ" ของใครสักคนที่แคร์ได้อย่างง่ายๆ
หากแต่... ความจริงก็คือEating Disordersควบคุมจิตใจและชีวิตของผู้ป่วยมาก จนพวกเขาไม่สามารถกินอาหารได้โดยปราศจากความรู้สึกไม่สบายใจอย่างร้ายกาจ (บางครั้งผู้ป่วยจะยอมกินต่อหน้าครอบครัวที่พยายามเว้าวอน และออกไป"เข้าห้องน้ำ(ล้วงคอ)"ทีหลัง หรือกินยาถ่าย หรือออกกำลังกายทดแทน)
และก็อย่างที่บอกว่าพวกเขาไม่ได้โง่... สามารถสรรหาวิธีไม่รู้จบที่จะแกล้งว่ากินอาหารปกติดี บางทีขอตัวออกไป"กินข้าวบ้านเพื่อน"(แต่ไปออกกำลังกายแทน) หรือแม้แต่หยิบจานอาหารมาใส่อะไรแล้วค่อยแอบเอาไปทิ้งทีหลัง(พอให้จานสกปรก เพื่อไม่ให้พ่อแม่กังวล) หรือถ้าถูกคุมตัวอยู่ที่รพ. บางคนก็พยายามหลอกหมอว่าประจำเดือนกลับมาเป็นปกติโดยการทำร้ายตัวเองให้เลือดออก (ประจำเดือนจะหยุดมาเนื่องจากการอดอาหารค่ะ) แพทย์จึงต้องตรวจเช็คดูดีๆว่าคนไข้ไม่ได้แกล้งทำเป็นว่าตัวเองฟื้นคืนจากภาวะขาดอาหารแล้ว
ส่วนวิธีที่จะอดอาหารก็มีมากไม่แพ้กัน จขบ.เคยได้ยินมาว่าบางคนเอาริบบิ้นมาพันรอบท้องเอาไว้ เพื่อที่จะได้ไม่กินให้ท้องใหญ่ไปมากกว่ากำหนด หรือเข้าห้องน้ำไปวัดสัดส่วนตัวเองเป็นระยะๆเพื่อดูว่าตัวเองไม่ได้อ้วนขึ้น(เช่น เอามือทั้งสองโอบรอบต้นขาเพื่อดูว่านิ้วโป้งแตะกันเท่าเดิม) เขียนลิสต์ว่าวันนี้/อาทิตย์นี้จะกินมากแค่ไหน+อะไรบ้าง ฯลฯ
EDจึงเป็น"วิธีปรับตัว" โรคนี้บังคับให้คนๆหนึ่งคิดถึงเกี่ยวกับเรื่องน้ำหนักมากมาย จนไม่จำเป็นต้องหมกมุ่นเกี่ยวกับปัญหาอื่น อีกทั้งยังช่วยทำให้พวกเขารู้สึกประสบความสำเร็จเมื่อน้ำหนักลดลง
ระบบลดน้ำหนักที่มีอยู่ทุกวันเป็นส่วนทำให้พวกเขารู้สึก"in control" ยับยั้งตัวเองได้ และมีที่ยึดเหนี่ยว
ฉะนั้นเรื่องการรักษาEDให้หาย ก็หมายถึงเปลี่ยนmindsetทั้งดุ้น เช่น เปลี่ยนทัศนคติ(แง่ลบที่มีตัวเอง) เปลี่ยนความคิด(ที่ตัวเองไม่ดีพอและไม่มีใครรัก) เปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต(วันนี้กินกี่แคลอรี่ เผาผลาญไปประมาณเท่าไร และออกกำลังกายไปนานแค่ไหน)
บางคนรักษาหายแล้วกลับมาเป็นใหม่
บางคนรักษาหายโดยไม่มีวันกลับมาเป็นอีก
และบางคนไม่เคยหายชั่วชีวิตค่ะ (ในกรณีหลังก็ใช่ว่าอยู่รอดจนอายุเกินสามสิบถ้าหากเป็นขั้นรุนแรง)


แต่จขบ.เชื่อว่าถ้าผู้ป่วยEating Disordersได้รับการใส่ใจเต็มที่และมีความหวังอยู่ ก็คงจะหายจากโรคนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะงั้นขอร้องให้ใครก็ตามที่อ่านบล็อกมาถึงตรงนี้ ตระหนักถึงการมีอยู่ของโรคนี้และพยายามเข้าใจด้วยเถอะค่ะ ^^

การฟังเพลง...ประโยชน์นี้เพื่อผู้ป่วย


เมื่อเร็วๆ นี้ เว็บไซต์ ZEENEWS.COM ได้เปิดเผยถึงประโยชน์ของการฟังเพลงสำหรับผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ
เครื่องช่วยหายใจมักจะเป็นสาเหตุหลักให้ผู้ป่วยเกิดความเครียดและความวิตกกังวลจากความรู้สึกหายใจลำบาก, การดูดเสมหะบ่อยๆ, ไม่สามารถที่จะสนทนากับผู้อื่นได้, ความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมหรือสภาวะของโรค ,ความไม่สุขสบาย ,การที่ต้องอยู่แยกจากผู้อื่น ซึ่งความกลัวจากทั้งหมดนี้ จะสามารถนำไปสู่ความวิตกกังวลในระดับสูงมาก และการใช้ยาเพื่อลดความวิตกกังวลอาจจะนำไปสู่การพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานขึ้นและค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นด้วย
แต่การศึกษาใหม่จาก Drexel University College of Nursing and Health Professions พบว่าการฟังเพลงของผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจจะสามารถช่วยลดความวิตกกังวลได้ และภาวะวิตกกังวลที่น้อยลงจะนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่น้อยลง โดยปราศจากภาวะแทรกซ้อนจากการบำบัดด้วย
การศึกษาครั้งนี้ นักวิจัยได้ทำการทบทวนข้อมูลจาก 8 การทดลอง ซึ่งมีผู้ป่วยทั้งหมด 213 คน แต่ละคนจะมีสภาวะโรคที่แตกต่างกันไป เช่น โรคปอด โรคหัวใจ และอุบัติเหตุ ซึ่งผู้ป่วยทั้งหมดจะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจด้วย โดยใน 7 การทดลองผู้ป่วยจะฟังเพลงที่บันทึกไว้ล่วงหน้าและในการทดลองที่เหลือจะใช้การบำบัดด้วยเสียงเพลงที่แสดงสดควบคู่กับการที่นักวิจัยจะทำการวัดอัตราการหายใจของผู้ป่วยด้วย
ผลการศึกษาพบว่าการฟังเพลงจะสามารถลดความวิตกกังวลได้ เมื่อเปรียบเทียบกับการดูแลแบบมาตรฐานทั่วไป และยังช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและอัตราการหายใจด้วย แต่ไม่สามารถลดความดันโลหิตได้
แม้การวิจัยนี้จะปรากฏว่าได้ผลดี แต่นักวิจัยยังคงต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้ได้หลักฐานที่หนักแน่นมากขึ้น และเพื่อประโยชน์ในการรักษาเพิ่มมากขึ้น